เด็กวัย 4-6 ปี หรือเรียกว่า เด็กวัยอนุบาล (preschool) เป็นวัยที่สำคัญ เพราะเป็นช่วงที่เด็กเริ่มมีพัฒนาการหลายด้านก้าวหน้าขึ้น ทั้งด้านความคิด ภาษา การสื่อสาร การเคลื่อนไหว และการช่วยเหลือตนเอง นอกจากนี้ยังเป็นวัยที่เด็กเริ่มออกจากครอบครัวไปสู่โรงเรียน ได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่น และ ใช้ชีวิตภายนอกบ้านมากขึ้น ดังนั้นครูจึงเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่มีความสำคัญในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กวัยนี้นอกเหนือจากคุณพ่อคุณแม่หรือบุคคลใกล้ชิดในครอบครัว จึงมีความจำเป็นที่ผู้ปกครองและครูจะต้องทราบ พัฒนาการพื้นฐานของเด็กๆ เพื่อส่งเสริมทักษะที่จำเป็น ให้เด็กๆมีพัฒนาการตามวัย และ เติบโตอย่างมีความสุข
โดยพัฒนาการของเด็กจะแบ่งเป็น 4 ด้านหลักๆ
1. พัฒนาการด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว
เด็กในวัยนี้ กล้ามเนื้อมัดเล็กเริ่มแข็งแรงขึ้น จึงสามารถวาดรูปทรงเรขาคณิตง่าย ๆ เช่น วงกลม สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม วาดรูปคน ใช้มือได้คล่องในทุกทิศทาง ใช้ช้อนส้อมทานข้าวเองได้ ต่อบล็อกได้ สามารถสวมใส่และถอดเสื้อผ้าได้ แปรงฟันเองได้
สำหรับกล้ามเนื้อมัดใหญ่จะเริ่มแข็งแรงขึ้นจนสามารถกระโดดขาเดียว วิ่งเร็วขึ้น โยนรับเตะลูกบอลได้ดี
เคล็ดลับการส่งเสริมพัฒนาการในด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว
ให้เด็กๆเล่นตัวต่อเลโก้ บล๊อกต่างๆ เพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมัดเล็ก เสริมสร้างพัฒนาการด้านความคิดและจินตนาการ
ฝึกให้ช่วยเหลือตนเอง เช่น อาบน้ำ แต่งตัว ติดกระดุม ผูกเชือกรองเท้า
ส่งเสริมพัฒนาการผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น การเล่นกีฬา ว่ายน้ำ เตะฟุตบอล
2. พัฒนาการด้านความคิดและความเข้าใจ
เด็กในวัยนี้ รู้จักสี รูปร่าง และรูปทรง จดจำสัญลักษณ์ต่างๆได้ รู้จักซ้าย-ขวา นับ 1-10 ได้
เด็กวัยนี้จะแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยสิ่งที่ รับรู้และจินตนาการของตนเอง โดยยังไม่รู้จักคิดไตร่ตรองอย่างรอบด้าน การแก้ปัญหาของเขาจึงเป็น แบบลองผิดลองถูก และเรียนรู้จากผลของการกระทำ
เคล็ดลับการส่งเสริมพัฒนาการในด้านความคิดและความเข้าใจ
ทำกิจกรรมต่างๆร่วมกับเด็ก เช่น เกมส์ต่อภาพ ต่อบล็อก
สอนให้รู้จักและสังเกตสิ่งต่างๆรอบตัว
ให้โอกาสเด็กๆได้ทดลองแก้ปัญหาด้วยตนเอง โดยคอยให้คำแนะนำ ชมเชยเมื่อเด็กทำสำเร็จ ให้กำลังใจและช่วยแนะวิธีแก้ไขเมื่อทำผิดพลาด จะทำให้เด็กเติบโตเป็นคนกล้าคิดกล้าแสดงออก มีความคิดสร้างสรรค์และไม่เกรงกลัวต่อปัญหา เด็กๆจะเกิดความภาคภูมิใจในตนเองเมื่อสามารถเอาชนะปัญหาต่างๆได้
3. พัฒนาการด้านการพูดและการสื่อสาร
เด็กในวัยนี้มีความอยากรู้อยากเห็น มีคำถามมากมาย สนใจสิ่งแปลกใหม่ สามารถพูดคุยเป็นประโยคที่ซับซ้อนมากขึ้น สามารถเล่าเรื่องราวได้ สามารถเข้าใจคำพูดของผู้ใหญ่ได้เกือบทั้งหมด บอกได้ว่า ชอบ หรือ ไม่ชอบอะไร
เคล็ดลับการส่งเสริมพัฒนาการในด้านการพูดและการสื่อสาร
ใช้การ์ดตัวอักษร หรือ การ์ดตัวเลข เพื่อเพิ่มคำศัพท์ และ สอนวิธีการนับเลข
เล่านิทาน อ่านหนังสือให้ฟัง และชี้ตามคำที่อ่านด้วย เพื่อให้เด็กๆรู้จักตัวสะกดเหล่านั้น
คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรแสดงความหงุดหงิดหรือรำคาญที่จะต้องตอบคำถามของเด็กๆ
4. พัฒนาการด้านอารมณ์และสังคม
เด็กในวัยนี้มีความสนใจและอยากมีส่วนร่วมในการเล่นกับเด็กคนอื่น สามารถเข้าร่วมกลุ่มกับเพื่อนได้แต่อาจจะยังไม่รู้จักกฏและกติกา ยังคงเห็นพฤติกรรมหวงและแย่งของเล่น ยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีนัก อาจอารมณ์เสียใส่เพื่อนคนอื่น โกรธและหงุดหงิดง่าย
เคล็ดลับการส่งเสริมพัฒนาการในด้านอารมณ์และสังคม
ควรพาเด็กๆไปเข้ากิจกรรมกลุ่ม (play group) เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์กับเด็กคนอื่น
สอนให้รู้จักการให้ การแบ่งปัน และ การรับ
หากลูกรู้สึกหงุดหงิดหรือโกรธง่าย ให้พยายามสอนลูกถึงการควมคุมอารมณ์ และค่อยๆแก้ปัญหาไป
เตรียมความพร้อมด้านจิตใจให้กับเด็กก่อนเข้าโรงเรียน เช่น หัดให้มีความอดทน รู้จักรอคอย สามารถจากพ่อแม่และอยู่กับคนที่ไม่รู้จัก ได้นานหลายชั่วโมงในแต่ละวัน
เลือกโรงเรียนให้เหมาะสมกับลูก
นอกจากเคล็ดลับต่างๆที่ผู้ปกครองอาจจะสามารถลองฝึกลูกๆได้ที่บ้าน การเรียน Coding ก็สามารถช่วยเสริมสร้างพัฒนาการได้ครอบคลุมทั้ง 4 ด้าน หลักสูตร Junior Coding ของ Beyond Code Academy ถูกพัฒนาจากความเข้าใจการเติบโตของเด็กในช่วงอายุนี้ กิจกรรมและหุ่นยนต์ในคลาสถูกออกแบบและพัฒนามาเพื่อสอนเด็กเล็กโดยเฉพาะ เด็กๆจะสนุกกับการเรียนรู้ผ่านกิจกรรม ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาจากงานวิจัยด้านการศึกษาเด็กเล็ก จากประเทศสหรัฐอเมริกา เน้นการเรียนรู้ผ่านการเล่น (Play-based Learning) และ การเรียนแบบ Hands-on หรือ Kinaesthetic Learning ซึ่งมีประสิทธิภาพต่อเด็กในวัยนี้เป็นอย่างมาก การเรียนCodingในวัยนี้จึงเป็นแบบ Unplugged หรือ การสอนโดยไม่ใช้คอมพิวเตอร์ นอกจากนี้เด็กๆจะได้เรียนรู้วิธีการใช้เทคโนโลยีอย่างปลอดภัย เพื่อเป็นรากฐานในการเติบโตอย่างมีความสุขในโลกยุค Digital
เขียนโดย
คุณหมอแนท
Co-Founder & COO, Beyond Code Academy
อ้างอิงจาก
ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย, คู่มือสำหรับพ่อแม่เพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านการดูแลและพัฒนาการเด็ก
Comments